วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

KFC ปลาปี๊ด

      หลายคนคงจะเคยเวลาที่เห็นโฆษณาอาหารทางโทรทัศน์แล้วอยากรับประทานอาหารที่โฆษณานั้นขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่โฆษณาทางโทรทัศน์เท่านั้น ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากรับประทานอาหาร  โปสเตอร์ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ในการโฆษณาให้ถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี



.....ในเมื่อผมกำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ KFC.....
 ............ โปสเตอร์ที่จะนำมาเสนอในครั้งนี้............
......คงไม่พ้นสินค้าจากเคเอฟซีอย่างแน่นอน......
...และเหตุผลที่เลือกโปสเตอร์นี้มาให้ดูก็เพราะ...
..การสื่อความหมายที่ชัดเจน และตรงไปตรงมา..





แค่เพียงเห็นโปสเตอร์นี้ครั้งแรก ก็เหมือนจะสามารถรู้รสชาดของสินค้าชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยภาพของมะนาวและพริกที่อยู่รอบๆโปสเตอร์ การตกแต่งสินค้าที่เป็นอาหารให้เหมือนกับปลาในการ์ตูน ก็เป็นการทำให้โปสเตอร์นี้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น มาพร้อมกับสโลแกนประจำตัวของสินค้าที่ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่า....
หากลองรับประทานดูแล้วต้อง
เผ็ดเปรี้ยวปี๊ด!!!   จี๊ด...เต็มคำ อย่างแน่นอน







     




โปสเตอร์บางชิ้น อาจไม่ได้สื่อความหมายออกมาชัดเจนอย่างที่โปสเตอร์ชิ้นนี้ อยากให้ทุกคนสังเกตสิ่งๆต่างๆที่อยู่รอบตัวเราให้ดี    อาจเห็นความหมายที่ผู้ทำต้องการสื่อถึงคุณโดยเฉพาะอยู่ก็เป็นได้!!


วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“ชีวิตผมรอดได้ด้วยสตาร์บัคส์”

          คนที่เปิดมาเจออาจสงสัย ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไรหรอ รอดตายได้ยังไง?? เพราะสตาร์บัคส์เนี่ยนะ !! กินกาแฟแล้วเจอทองคำในแก้วหรืออย่างไร ?? หนังสือเล่มนี้คงเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้หวือหวาราวกับที่อ่านในหนังสือเทพนิยายขนาดนั้น แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิตของชายคนหนึ่ง ที่ชีวิตของเขาพลิกผันมากเกินไปหน่อย...ก็เท่านั้นเอง





         ครั้งแรกที่ได้เห็นหนังสือ ผมก็เกิดความแปลกใจอยากรู้ในสิ่งที่อยู่

ข้างในของหนังสือ เหมือนๆกับที่ได้เขียนไว้ข้างบน ยิ่งช่วงนั้นแล้ว

สตาร์บั๊คส์กำลังดังมากๆอยู่ในเมืองไทย ยิ่งเป็นตัวทำให้ผมรู้สึกอยากรู้

สิ่งที่อยู่ข้างในหนังสือนั้นมากขึ้นไปอีก  และเมื่อได้เริ่มอ่านแล้วก็

ไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่ได้เลือกหนังสือเล่มนี้ เราลองมาดูกันดีกว่าว่า

ภายในของหนังสือเล่มนี้นั้นมีอะไรอยู่บ้าง



หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยชีวิตและความโกลาหลของ ไมเคิล เกทส์ กิลล์ อดีตนักโฆษณาอาวุโสที่ถูกยื่นซองขาวหลังจากทำงานให้บริษัทโฆษณาข้ามชาติอย่าง เจ วอร์เตอร์ ทอมสัน มานานกว่า ๓๕ ปี จนเช้าวันหนึ่ง.. อดีตลูกน้องที่ ไมเคิล รับเข้ามาทำงานกับมือนัดเขาทานมื้อเช้า แม้กิลล์จะพอระแคะระคายเรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทหลังจากผู้บริหารรุ่นหนุ่มเข้ามาบริหารแทนกลุ่มผู้บริหารเก่าที่ขายหุ้นออกไป แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้..
ไมเคิลลินดาพูด ฉันมีข่าวร้าย” ...
บอกมาเถอะไมเคิลพูดอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
เราต้องปล่อยคุณไปนะคะไมเคิลเธอประกาศออกมาราวกับหุ่นยนต์เพื่อป้องกันตัวเอง เธอคงยุ่งยากใจมากกว่าจะพูดออกมาได้ โดยเฉพาะกับการใช้คำว่า เรา
ไม่รู้ว่าไมเคิลจะเจ็บปวดสักแค่ไหนที่อดีตลูกน้องที่สั่งสอนมากับมือ รับหน้าที่บอกข่าวร้ายแก่เขา หลังอาหารเช้ามื้อนั้น ความรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง เกียรติยศ และเงินทองที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลานานก็กลายเป็นอดีต
อันที่จริงแล้ว ไมเคิลไม่เคยสะสมเงินทองเสียด้วยสิ  ก็แน่ล่ะ รายได้ ๖ หลักระดับผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เดี๋ยวบินไปนั่น เดี๋ยวบินไปนี่ พบปะกับลูกค้าระดับโลกมากมาย ใช้ชีวิตอยู่ในระดับหัวแถว ใครจะมาคิดล่ะ ว่าวันนี้จะมาถึง
ไมเคิลในวัยเกือบ ๖๐ ถูกเชิญออกจากงานชนิดที่มีคนเก็บข้าวของในห้องทำงานให้เรียบร้อย ระหว่างที่หางานอื่นทำโดยที่ไม่บอกภรรยาและลูกๆว่าบัดนี้เขากลายเป็นคนเร่ร่อนหางานทำ ไมเคิลยังคงแต่งสูทโก้หรูออกจากบ้านเหมือนเคย แต่คราวนี้เขาตรงไปนั่งจมปลักอยู่ที่ฟิตเนส หลังจากนั่งไปนั่งมาอยู่หลายวัน ท่าไหนก็ไม่รู้ ดันเผลอไปทำสาวคนหนึ่งท้องไส้ขึ้นมา (เธอยืนยันนอนยันว่า อย่างไรเธอก็ไม่มีวันท้องแน่นอน)  เมื่อสารภาพบาปกับภรรยาเรียบร้อย ไมเคิลก็ต้องหอบผ้าผ่อนออกมาอยู่ห้องเช่าแคบๆกับภรรยาและลูกน้อย โดยที่เหลือเงินติดตัวไม่มากนัก และเมื่อครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี หมอยังตรวจพบว่า ไมเคิลเป็นเนื้องอกในสมองชนิดที่ต้องผ่าตัดด่วน! .. เป็นไงล่ะครับ ปัญหามากพอรึยัง?
อันว่าสังคมอเมริกา คนป่วยไข้อยู่ได้ด้วยระบบประกันสังคม แต่ตอนนี้.. ไมเคิล ไม่มีงานทำ ประกันสังคมก็ถูกยกเลิก กำหนดผ่าตัดสมองที่หมอนัดก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน เขาจำเป็นต้องหางานทำโดยด่วน เพื่อให้ชีวิตเขาอยู่รอดต่อไปได้จนลูกคนล่าสุดเป็นหนุ่ม
ในวันที่ไปนั่งเหม่ออยู่ในร้านสตาร์บัคส์แห่งหนึ่ง ไมเคิลก็คงคิดหางานทำ
ใช่แล้ว ผมต้องการงานทำ ผมไม่เคยพูดถ้อยคำนี้มานานสามสิบห้าปี นับแต่ผมเข้าทำงานที่เจดับเบิลยูที และสิบปีแล้วที่ถูกไล่ออกจากเจดับเบิลยูที..
ชีวิตของไมเคิลผกผันอีกครั้ง เมื่อ-คริสตัน ผู้จัดการร้านสตาร์บัคส์แห่งหนึ่ง หันมาถามเล่นๆกับไมเคิลว่า อยากทำงานในร้านสตาร์บัคส์ที่เธอดูแลหรือไม่ไมเคิลรีบตอบตกลงทันทีว่าเขาอยากทำงานในร้านสตาร์บัคส์ นั่นก็เล่นเอาคริสตัน หญิงสาวผิวสีวัยเกือบ ๓๐ ตกตะลึง!
หากคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรอะไรก็แล้วแต่ ลองหลับตานึกภาพตัวเองกำลังยืนถูพื้นอยู่ในร้านกาแฟ ถึงมันจะเป็นร้านกาแฟระดับโลกที่ชื่อสตาร์บัคส์ก็เถอะ ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าคุณจะปั้นหน้าตาอย่างไร? เมื่อลูกน้อง เพื่อน หรือลูกๆของคุณที่มาพร้อมกับเพื่อนๆ เดินเข้ามาในร้านกาแฟที่คุณกำลังถูพื้น จากนั้นคุณก็ต้องขอตัวไปล้างห้องน้ำ
เล่มนี้สนุกตรงที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ไมเคิลต้องรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับคนหนุ่มสาว ที่ครั้งหนึ่งเขามองคนเหล่านี้เป็นเพียงคนไร้ค่า และพร้อมที่จะขย่ำได้ทุกเมื่อที่เห็นว่าขัดหูขัดตา หลายคนเคยร้องไห้เพราะถูกเขาต่อว่าและเชิญออกจากห้องทำงานอย่างไร้ความปราณี
จะว่าไปแล้ว ไมเคิลก็ไม่ใช่คนดีเด่ที่ไหนหรอก สมัยที่ยังรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เขาออกจะโหดเหี้ยมกับผู้คนรอบข้างเสียด้วยซ้ำไป เมื่อตกอับ.. ก็เหมือนเวรกรรมไล่ตามหลังล่ะครับ






หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน ขนาดคนที่ทำงานในระดับสูงยังสามารถตกงานแบบไม่ทันตั้งตัวได้  แล้วกับคนธรรมดาอย่างเราล่ะ ?? จะเกิดอะไรขึ้นกับเราได้บ้าง ดังนั้นผมจึงคิดเตรียมพร้อมให้กับตัวและหัวใจของตัวเอง ว่าอาจได้พบเจอกับเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่คาดคิดได้อยู่เสมอๆ ไม่ตื่นตระหนกไปกับมัน และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น 



แล้วคุณล่ะ!! ได้เตรียมใจ
กับเรื่องที่ไม่คาดคิดไว้บ้างหรือยัง