คนที่เปิดมาเจออาจสงสัย ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไรหรอ รอดตายได้ยังไง?? เพราะสตาร์บัคส์เนี่ยนะ !! กินกาแฟแล้วเจอทองคำในแก้วหรืออย่างไร ?? หนังสือเล่มนี้คงเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้หวือหวาราวกับที่อ่านในหนังสือเทพนิยายขนาดนั้น แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิตของชายคนหนึ่ง ที่ชีวิตของเขาพลิกผันมากเกินไปหน่อย...ก็เท่านั้นเอง
ครั้งแรกที่ได้เห็นหนังสือ ผมก็เกิดความแปลกใจอยากรู้ในสิ่งที่อยู่
ข้างในของหนังสือ เหมือนๆกับที่ได้เขียนไว้ข้างบน ยิ่งช่วงนั้นแล้ว
สตาร์บั๊คส์กำลังดังมากๆอยู่ในเมืองไทย ยิ่งเป็นตัวทำให้ผมรู้สึกอยากรู้
สิ่งที่อยู่ข้างในหนังสือนั้นมากขึ้นไปอีก และเมื่อได้เริ่มอ่านแล้วก็
ไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่ได้เลือกหนังสือเล่มนี้ เราลองมาดูกันดีกว่าว่า
ภายในของหนังสือเล่มนี้นั้นมีอะไรอยู่บ้าง
หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยชีวิตและความโกลาหลของ
ไมเคิล เกทส์ กิลล์
อดีตนักโฆษณาอาวุโสที่ถูกยื่นซองขาวหลังจากทำงานให้บริษัทโฆษณาข้ามชาติอย่าง เจ
วอร์เตอร์ ทอมสัน มานานกว่า ๓๕ ปี จนเช้าวันหนึ่ง.. อดีตลูกน้องที่ ไมเคิล
รับเข้ามาทำงานกับมือนัดเขาทานมื้อเช้า
แม้กิลล์จะพอระแคะระคายเรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทหลังจากผู้บริหารรุ่นหนุ่มเข้ามาบริหารแทนกลุ่มผู้บริหารเก่าที่ขายหุ้นออกไป
แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้..
“ไมเคิล” ลินดาพูด
“ฉันมีข่าวร้าย” ...
“บอกมาเถอะ” ไมเคิลพูดอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
“เราต้องปล่อยคุณไปนะคะไมเคิล” เธอประกาศออกมาราวกับหุ่นยนต์เพื่อป้องกันตัวเอง
เธอคงยุ่งยากใจมากกว่าจะพูดออกมาได้ โดยเฉพาะกับการใช้คำว่า “เรา”
ไม่รู้ว่าไมเคิลจะเจ็บปวดสักแค่ไหนที่อดีตลูกน้องที่สั่งสอนมากับมือ
รับหน้าที่บอกข่าวร้ายแก่เขา หลังอาหารเช้ามื้อนั้น ความรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง
เกียรติยศ และเงินทองที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลานานก็กลายเป็นอดีต
อันที่จริงแล้ว
ไมเคิลไม่เคยสะสมเงินทองเสียด้วยสิ
ก็แน่ล่ะ รายได้ ๖ หลักระดับผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เดี๋ยวบินไปนั่น
เดี๋ยวบินไปนี่ พบปะกับลูกค้าระดับโลกมากมาย ใช้ชีวิตอยู่ในระดับหัวแถว
ใครจะมาคิดล่ะ ว่าวันนี้จะมาถึง
ไมเคิลในวัยเกือบ ๖๐
ถูกเชิญออกจากงานชนิดที่มีคนเก็บข้าวของในห้องทำงานให้เรียบร้อย
ระหว่างที่หางานอื่นทำโดยที่ไม่บอกภรรยาและลูกๆว่าบัดนี้เขากลายเป็นคนเร่ร่อนหางานทำ
ไมเคิลยังคงแต่งสูทโก้หรูออกจากบ้านเหมือนเคย
แต่คราวนี้เขาตรงไปนั่งจมปลักอยู่ที่ฟิตเนส หลังจากนั่งไปนั่งมาอยู่หลายวัน
ท่าไหนก็ไม่รู้ ดันเผลอไปทำสาวคนหนึ่งท้องไส้ขึ้นมา (เธอยืนยันนอนยันว่า
อย่างไรเธอก็ไม่มีวันท้องแน่นอน)
เมื่อสารภาพบาปกับภรรยาเรียบร้อย
ไมเคิลก็ต้องหอบผ้าผ่อนออกมาอยู่ห้องเช่าแคบๆกับภรรยาและลูกน้อย
โดยที่เหลือเงินติดตัวไม่มากนัก และเมื่อครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี
หมอยังตรวจพบว่า ไมเคิลเป็นเนื้องอกในสมองชนิดที่ต้องผ่าตัดด่วน! .. เป็นไงล่ะครับ
ปัญหามากพอรึยัง?
อันว่าสังคมอเมริกา
คนป่วยไข้อยู่ได้ด้วยระบบประกันสังคม แต่ตอนนี้.. ไมเคิล ไม่มีงานทำ
ประกันสังคมก็ถูกยกเลิก กำหนดผ่าตัดสมองที่หมอนัดก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน
เขาจำเป็นต้องหางานทำโดยด่วน
เพื่อให้ชีวิตเขาอยู่รอดต่อไปได้จนลูกคนล่าสุดเป็นหนุ่ม
ในวันที่ไปนั่งเหม่ออยู่ในร้านสตาร์บัคส์แห่งหนึ่ง
ไมเคิลก็คงคิดหางานทำ
“ใช่แล้ว ผมต้องการงานทำ
ผมไม่เคยพูดถ้อยคำนี้มานานสามสิบห้าปี นับแต่ผมเข้าทำงานที่เจดับเบิลยูที
และสิบปีแล้วที่ถูกไล่ออกจากเจดับเบิลยูที..”
ชีวิตของไมเคิลผกผันอีกครั้ง
เมื่อ-คริสตัน ผู้จัดการร้านสตาร์บัคส์แห่งหนึ่ง หันมาถามเล่นๆกับไมเคิลว่า
อยากทำงานในร้านสตาร์บัคส์ที่เธอดูแลหรือไม่? ไมเคิลรีบตอบตกลงทันทีว่าเขาอยากทำงานในร้านสตาร์บัคส์
นั่นก็เล่นเอาคริสตัน หญิงสาวผิวสีวัยเกือบ ๓๐ ตกตะลึง!
หากคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรอะไรก็แล้วแต่
ลองหลับตานึกภาพตัวเองกำลังยืนถูพื้นอยู่ในร้านกาแฟ
ถึงมันจะเป็นร้านกาแฟระดับโลกที่ชื่อสตาร์บัคส์ก็เถอะ
ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าคุณจะปั้นหน้าตาอย่างไร? เมื่อลูกน้อง
เพื่อน หรือลูกๆของคุณที่มาพร้อมกับเพื่อนๆ เดินเข้ามาในร้านกาแฟที่คุณกำลังถูพื้น
จากนั้นคุณก็ต้องขอตัวไปล้างห้องน้ำ
เล่มนี้สนุกตรงที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ไมเคิลต้องรับมือ
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับคนหนุ่มสาว
ที่ครั้งหนึ่งเขามองคนเหล่านี้เป็นเพียงคนไร้ค่า
และพร้อมที่จะขย่ำได้ทุกเมื่อที่เห็นว่าขัดหูขัดตา
หลายคนเคยร้องไห้เพราะถูกเขาต่อว่าและเชิญออกจากห้องทำงานอย่างไร้ความปราณี
จะว่าไปแล้ว
ไมเคิลก็ไม่ใช่คนดีเด่ที่ไหนหรอก สมัยที่ยังรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
เขาออกจะโหดเหี้ยมกับผู้คนรอบข้างเสียด้วยซ้ำไป เมื่อตกอับ..
ก็เหมือนเวรกรรมไล่ตามหลังล่ะครับ
หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นไม่แน่นอน ขนาดคนที่ทำงานในระดับสูงยังสามารถตกงานแบบไม่ทันตั้งตัวได้ แล้วกับคนธรรมดาอย่างเราล่ะ ?? จะเกิดอะไรขึ้นกับเราได้บ้าง ดังนั้นผมจึงคิดเตรียมพร้อมให้กับตัวและหัวใจของตัวเอง ว่าอาจได้พบเจอกับเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่คาดคิดได้อยู่เสมอๆ ไม่ตื่นตระหนกไปกับมัน และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วคุณล่ะ!! ได้เตรียมใจ
กับเรื่องที่ไม่คาดคิดไว้บ้างหรือยัง